ส่วน Back office มีหน้าที่ trading against port คือเทรด Forex ในทิศทางตรงข้าม เพื่อรักษาดุลในพอร์ทนั้นตามสัด
Featured Posts
4/16/2556
Negative Correlation
ส่วน Back office มีหน้าที่ trading against port คือเทรด Forex ในทิศทางตรงข้าม เพื่อรักษาดุลในพอร์ทนั้นตามสัด
11/16/2555
เริ่มต้นเขียน Blog..เริ่มต้นเทรดเดอร์
เห็นหลายท่านเขียน blog ต่างๆนานาทำให้ตัวเองอยากมีอะไรไว้แบ่งปันแนวคิดของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั้งการเทรดหุ้นและ Forex โดยเป็นทัศนคติในแง่ของการวิเคราะห์แบบ technical เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับแนวพื้นฐาน เพราะตัวเองก็ไม่ถนัดในแนวพื้นฐานเลย
อาชีพเทรดเดอร์คงมีหลายคนที่ต้องการจะเป็นเพื่ออิสระภาพของเวลาและอิสระภาพทางด้านการเงิน หลายคนกระโดดเข้ามาในตลาดหุ้น ตลาด Forex หรือตลาดการลงทุนอื่นๆ เพียงเพื่อหวังว่ามันจะทำเงินให้เพื่อให้ตนเองบรรลุจุดประสงค์ในอิสระภาพทางการเงินจนบางครั้งลืมมองไปว่ากำลังทำอะไรระหว่างการลงทุนหรือเก็งกำไร เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่จะลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนในเวลาอันสั้นแค่ 5นาที 10นาที หรือแม้แต่ในวันเดียว
แนวคิดของนักลงทุนแนว Value Investor (VI) ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยใช้การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ต่างๆมาช่วยในการวิเคราะห์และเลือกหุ้น อ่านงบการเงินให้เป็น รู้จักค่า P/E, P/BV, ROE, ROA… ซึ่งจะเห็นว่ามันไม่ง่าย และต้องใช้ความชำนาญในการลงทุน เพราะถ้าเลือกลงทุนในแนวนี้แล้ว จะต้องอยู่กับหุ้นนั้นไปนาน จนกว่าค่าของอัตราส่วนต่างๆจะเปลี่ยนไปหรือราคาหุ้นสูงเกินกว่าปัจจัยฯที่เราคำนวณไว้….
ข้อเสียของแนวปัจจัยพื้นฐานคือ คุณจะต้องอยู่กับหุ้นนั้นในไปนาน ยิ่งหุ้นลงต่ำกว่าพื้นฐานมากๆ ยิ่งซื้อเพิ่ม เพื่อรอวันนึงหุ้นจะสะท้อนปัจจัยพื้นฐานอย่างเต็มที่ จนราคาพุ่งสูงขึ้นเพื่อฟันกำไรเต็มที่….แต่สิ่งที่คุณต้องมอง คือ เงินเย็น เงินที่ไม่ต้องเอาไปใช้ทำอะไร เพื่อนำมาลงทุนแนวนี้!
แนวคิดของนักลงทุนแนว Technical คือใช้กราฟเป็นตัววัดค่าความผันผวนของราคาหุ้นโดยไม่สนใจว่าอัตราส่วนทางการเงินที่สะท้อนราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร หุ้นขึ้นเพราะมี Demand > Supply ราคาจึงสูงขึ้นเป็นไปตามหลักกลไกราคา (ไม่ขอพูดถึง Invisible Hand Factor ที่ทำให้หุ้นขึ้น) บางคนพัฒนากราฟต่างๆ หลายเส้นวุ่นวาย ตีกันมั่ว ทั้ง MACD, RSI, Sto, SMA, EMA, WMA……เยอะแยะไปหมด แต่จริงแล้ว สูตรต่างๆถูกพัฒนามาจากหลักการณ์ทางคณิตศาสตร์เดียวกันทั้งสิ้น ราคาหุ้นขึ้น คือราคาที่สูงกว่าเมื่อวาน ส่วนราคาหุ้นลง คือราคาที่ลงต่ำกว่าที่เคยเป็น หลักการมองมีเพียงเท่านี้จริงๆ….การที่ใช้กราฟมากมายไปหมด แต่สุดท้ายพอจะขายแต่ละที เราก็ติดกับดักทางเทคนิคของตัวเอง (Technical Trap) สัญญาณนั้นให้ซื้อ แต่สัญญาณนี้ยังให้ขายอยู่…
ข้อเสียของนักลงทุนแนวเทคนิค บางคนเชื่อในสัญญาณเทคนนิคมากเกินไปซึ่งจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะหากเราผิดทาง จะต้องยอมตัดขาดทุน (Cut Loss) ทำให้บางครั้ง เราโดนความผันผวนของตลาดหลอกเอาได้ หากคัทลอส ที่ 5% ถ้าลงทุนแล้วผิดทาง 20 ครั้ง หน้าตักก็หายไปเยอะแล้วครับ
ฉะนั้นการลงทุนหรือจะเก็งกำไรนั้นผมไม่คิดว่า การเลือกว่าเป็นนักแนวไหนจะถูกต้องนัก คงต้องเลือกมองตาม sentiment ที่เกิดขึ้น
1. การพัฒนาจิตในการเทรด Mind Set คงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างแรก อย่ายึดว่า เราเป็นแนว VI แล้วจะไม่ขายเมื่อหุ้นร่วง หรือยึดติดกับระบบเทรดที่เราสร้างขึ้น จนไม่ยอมขายทำกำไร โดยอ้างว่า ระบบยังไม่สั่งให้ขาย เพราะบ่อยครั้ง ระบบจะให้ขายที่ราคาต่ำกว่าซื้อเสมอ บางครั้งการฉกฉวยกำไรในเวลาที่เหมาะสมย่อมส่งผลดีในบ้างครั้งเสมอ
2. การบริหารเงินในการลงทุน (Money Management) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้เราอยู่รอดลงทุนในตลาดได้นานแสนนาน
3. การปกป้องเงินทุนและผลกำไร เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง อย่ายึดติดกับภาพลวงตาในการเทรด (Trading illusion)ที่ตัวเองสร้างขึ้นเชื่อในระบบ (Trading System) มากเกินไป ไม่ยอมขายเพราะว่ากลัวจะเป็นขายหมู (ขายราคาต่ำเกินไป) เพราะสิ่งที่เราควรคำนึงถึงคือ Cash Flow ต่างหาก เพราะตราบใดที่พอร์ทเขียว แต่ไม่ขาย มันก็เป็นแค่สิ่งสมมุติ ที่หลอกเราให้ตกเป็นเหยื่อในระบบ ที่เราสร้างขึ้น
สำหรับบทแรกแห่งการเริ่มต้น ขอไว้เท่านี้ก่อนแล้วกันครับ แล้วพบกันใหม่ใน Fx BankClub
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)